ประวัติความเป็นมาของอำเภอ
อำเภอซับใหญ่ แยกเขตการปกครองมาจากอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ และมีพระราชกฤษฎีกาตั้งเป็นกิ่งอำเภอซับใหญ่ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 มีเขตการปกครอง จำนน 3 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลท่ากูบ ตำบลตะโกทอง ส่วนตำบลซับใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการกิ่งอำเภอ นั้น มีเนื้อที่ และประชากรมากที่สุด รวมทั้งสิ้น 3 ตำบล 37 หมู่บ้าน โดยผู้ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการแยกเขตการปกครอง และก่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอ คือ นายจรูญ ฤทธิ์จรูญ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลซับใหญ่ และนายบุญคง เพชรประไพ อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ตำบลซับใหญ่ นายสงัด ชัยมีแรง กำนันตำบลซับใหญ่ นายทองหล่อ นพสันเทียะ กำนันตำบลตะโกทอง และนายลอย เหล็กมา กำนันตำบลท่ากูบ เล็งเห็นว่า กิ่งอำเภอซับใหญ่ เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอำเภอจัตุรัส เส้นทางคมนาคมทุรกันดาร ส่วนราชการเดินทางมาในพื้นที่เป็นไปอย่างยากลำบาก และในเบื้องต้นแนวร่วมในการก่อตั้งกิ่งอำเภอตั้งใจว่าจะก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอในบ้านซับใหญ่ หมู่ที่ 1 ในเขตชุมชน / หมู่บ้าน แต่ติดขัดว่ามีพื้นที่คับแคบ ค่อนข้างจำกัด ต่อมา นายจรูญ ฤทธิ์จรูญ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ต.ซับใหญ่ ได้บริจาคที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 75 ไร่ เพื่อก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอ และส่วนราชการ ดังนั้น เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งกิ่งอำเภอ จึงได้ก่อสร้างอาคารที่ว่าการกิ่งอำเภอในพื้นที่บริจาคดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอ และอาคารที่พักข้าราชการตำรวจ ข้าราชการปกครอง กองร้อย อส. สระน้ำประปา และสนามกีฬาฟุตบอลขนาดมาตรฐาน ทำให้ที่ว่าการกิ่งอำเภอซับใหญ่เป็นสถานที่ราชการที่สง่างาม มีเนื้อที่ใช้สอยมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิ โดยภายในบริเวณที่ว่าการกิ่งอำเภอได้กั้นพื้นที่ไว้สำหรับก่อสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ไว้ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างและผู้ที่มาดำรงตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอซับใหญ่คนแรก คือ นายวิรัช จำรัสพงษ์ นับเวลาก่อตั้งกิ่งอำเภอทั้งสิ้น 10 ปี มีปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้ว 12 คน จนกระทั่งได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอเป็นอำเภอ และมีผลสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2550 ทำให้กิ่งอำเภอซับใหญ่ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอซับใหญ่ ตามโครงการอำเภอเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 และมีนายอำเภอคนแรก คือ นายโชติพัฒน์ สิชฌรังษี